ระบำดอกบัวผุด เป็นระบำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ จัดอยู่ในประเภทระบำปรับปรุงหรือระบำเบ็ดเตล็ด ระบำชุดได้เลียนแบบจากธรรมชาติและองค์ประกอบต่างๆของดอกบัวผุดมาประดิษฐ์เป็นท่ารำขึ้น ดอกบัวผุด เป็นสัญลักษณ์ของดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในโลก การเดินทางไปศึกษาค้นคว้าดอกบัวผุดค่อนข้างลำบาก จึงมีผู้พบเห็นดอกไม้ชนิดนี้น้อยมาก นับว่าเป็นดอกไม้ที่น่าสนใจศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้
๑. ดอกบัวผุด ( Rafflesia Kerrii Meijer)
ดอกบัวผุดเป็นกาฝากชนิดหนึ่ง ไม่มีลำต้น ราก ใบ แต่มีเส้นใยบางๆที่มองไม่เห็นเกาะติดอยู่กับท่อน้ำเลี้ยงจากรากของพืชชนิดอื่น
จากการสำรวจและวิจัยของฝ่ายพฤษศาสตร์กองบำรุงกรมป่าไม้ พบว่า ดอกบัวผุดพันธุ์ใหม่ ที่พบในประเทศไทย เป็นพืชกาฝากที่เกาะกินเฉพาะน้ำเลี้ยงจากรากของเถาวัลย์ชื่อ “ย่านไก่ต้ม” เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในบางครั้งมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นดอกของเถาวัลย์ย่านไก่ต้ม ซึ่งความจริงแล้วเถาวัลย์ย่านไก่ต้มเป็นพันธ์ไม้วงศ์องุ่น (Vitidacac) ที่มีเถาขนาดใหญ่พบใน ป่าดงดิบชื้นทางภาคใต้ที่มีฝนตกอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี พื้นดินเป็นดินร่วน หรือ ดินร่วนปนทรายตามหุบเขาหรือบริเวณริมลำธาร ดอกของเถาวัลย์ย่านไก่ต้มมีสีเขียวอมเหลือง ขนาดโตประมาณ ๒ เท่าของหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น ดอกบัวผุดมีชื่อตามท้องถิ่นที่เรียกกันว่า กระโถนฤาษี ดอกบัวตูม – บัวบาน มูงอเกะมอ หรือ ดอกบัวสวรรค์ เป็นพืชที่อยู่ในตระกูล Refflesia จัดเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหายากที่สุด มักพบในป่าดิบชื้นเขตร้อน สามารถพบได้ในบริเวณทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทยพบในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ ยะลา ระนอง และบางส่วนของประเทศพม่า ในระดับความสูง ตั้งแต่ ๒๐๐ – ๑,๖๐๐ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี พบดอกบัวผุดได้บริเวณป่าลึกเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก อำเภอ พนม
๑.๑ ลักษณะของดอกบัวผุด
ดอกบัวผุดไม่มีลำต้นมีแต่ดอก ลักษณะของดอกบัวผุด เมื่อยังตูมอยู่คล้ายกะหล่ำปลี หรือกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่มีกลีบหนา ใช้เวลาราว ๘ เดือน กระทั่งผลิบานเป็นดอกไม้มหึมา เมื่อบานเต็มที่จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก ๗๐ – ๘๐ เซนติเมตร และดอกบัวผุดอยู่ได้ไม่เกิน ๕ วัน ก็เหี่ยวเฉาไป นับจากแรกเริ่มจนถึงสิ้นสุดวงจรกินเวลาประมาณ ๙ เดือนที่โคนของดอกบัวผุด มีกลีบสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก ภายในของดอกบัวผุดมีแผ่นแบนคล้ายจาน ด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลม จานนี้จะซ่อนเกสรตัวผู้และรังไข่ไว้ด้านล่าง กลีบดอกของ ดอกบัวผุดจะใหญ่และหนา มีอยู่ ๕ กลีบ เมื่อยังสดอยู่มีน้ำหนักประมาณ ๑๐ กิโลกรัม กลีบดอก มีความหนาตั้งแต่ ๐.๕ – ๑ เซนติเมตร มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นซากเน่าทั่วๆไป
การผสมพันธุ์ของดอกบัวผุดเป็นเรื่องน่าพิศวง เพราะเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย อยู่คนละดอก ดอกบัวผุดจึงมีกลิ่นเหม็นคาวเหมือนเนื้อสัตว์ โดยออกมาจากใจกลางดอก แมลงวันหัวเขียวซึ่งชอบของเน่าจะบินตามกลิ่นมาและเข้าไปหาอาหารในดอกไม้ ส่วนหลังของมันจะสัมผัสกับยางเหนียวของละอองตัวผู้และนำเกสรตัวผู้ออกมาด้วย เมื่อแมลงวันมาตอมดอกตัวเมีย เกสรตัวผู้กับตัวเมียผสมกัน เพียงเท่านี้การผสมเกสรก็สมบูรณ์ หลังจากนั้นจะต้องมีสัตว์พา เมล็ดพันธุ์ดอกบัวผุดไปฝังในเถาวัลย์ย่านไก่ต้ม เมล็ดดอกบัวผุดก็อาศัยกินอาหารและน้ำจากเถาวัลย์ ย่านไก่ต้มจนผลิออกมาเป็นดอกบัวผุด
อยากให้คนต่างชาติได้ดู
ตอบลบสิ่งที่คนไทยได้ทำขึ้นมาจัง
ดีคับ
ตอบลบดีค่ะ
ตอบลบระบำดอกบัวต้องได้
ไปโชว์หลายๆที่ค่ะ